
เรื่องของ “UFO” หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “จานบิน” นั้น เป็นประเด็นที่พูดกันมานานหลายสิบปี และยังคงสร้างความสงสัยให้กับคนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ว่ามันเป็นของจริงหรือแค่เรื่องแต่งเพื่อความบันเทิงกันแน่ หลายคนเชื่อว่ามันคือยานจากต่างดาว ส่วนอีกกลุ่มก็ยืนยันว่าทุกสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้านั้น ล้วนมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้หมด บทความนี้จะพาไปเจาะลึกตั้งแต่ต้นกำเนิดของคำว่าUFOใครเป็นคนค้นพบคนแรก และทำไมมันถึงกลายเป็นหนึ่งในปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
UFO คืออะไรแน่?
UFOย่อมาจากคำว่า Unidentified Flying Object หรือ “วัตถุลึกลับที่บินได้โดยไม่สามารถระบุได้” ซึ่งไม่ได้หมายถึง “ยานต่างดาว” เสมอไปนะ เพราะโดยนิยามแล้ว คำนี้ใช้เรียกวัตถุใด ๆ ที่ปรากฏบนท้องฟ้าแต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เช่น บอลลูน เครื่องบินทดลอง ดาวตก หรือแม้กระทั่งภาพลวงตาในชั้นบรรยากาศก็ถือเป็นUFOได้ทั้งนั้น
แต่เหตุผลที่คำว่าUFOกลายเป็นเรื่องของเอเลี่ยนหรือสิ่งมีชีวิตนอกโลก ก็เพราะสื่อและภาพยนตร์ในยุค 1950s เป็นต้นมา ที่มักนำเสนอภาพ “จานบินจากต่างดาว” จนฝังอยู่ในจินตนาการของผู้คนทั่วโลก กลายเป็นว่าทุกครั้งที่เห็นวัตถุแปลก ๆ บนฟ้า คนจะคิดถึงเอเลี่ยนก่อนเสมอ
ใครกันแน่ที่ “ค้นพบUFO” คนแรก?
ถ้าย้อนไปดูตามประวัติศาสตร์ การพบเห็นวัตถุลึกลับบนท้องฟ้ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ทั้งในอียิปต์ จีน กรีก และอินเดีย ต่างก็มีบันทึกเกี่ยวกับ “สิ่งลึกลับจากฟ้า” เช่น แสงสว่างเคลื่อนไหวได้ หรือวัตถุทรงกลมสีเงินที่บินผ่านเหนือเมือง
แต่ถ้าให้พูดถึง “เหตุการณ์ที่ทำให้คำว่า UFOดังไปทั่วโลก” ต้องยกให้ เคนเน็ธ อาร์โนลด์ (Kenneth Arnold) นักบินชาวอเมริกัน ซึ่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1947 เขาได้รายงานว่าตัวเองเห็น “วัตถุรูปทรงเหมือนจาน” 9 ลำ บินด้วยความเร็วสูงใกล้ภูเขาเรนิเยร์ (Mount Rainier) ในรัฐวอชิงตัน
อาร์โนลด์อธิบายว่า วัตถุเหล่านั้น “เคลื่อนไหวเหมือนเวลาคุณขว้างจานบนผิวน้ำ” คำพูดนี้เองที่ทำให้สื่อเรียกมันว่า Flying Saucer หรือ จานบิน และจุดนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของกระแสUFOทั่วโลก
Roswell: จุดเปลี่ยนของความเชื่อเรื่องจานบิน
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ของอาร์โนลด์ โลกก็ต้องสะเทือนอีกครั้งกับ เหตุการณ์รอซเวลล์ (Roswell Incident) ในรัฐนิวเม็กซิโก ปี 1947 เมื่อมีรายงานว่า “ยานลึกลับตกลงบนพื้นดิน” และมีเศษวัตถุแปลก ๆ ถูกเก็บไปโดยกองทัพสหรัฐ
ตอนแรกกองทัพประกาศว่า “พบซากจานบิน” แต่เพียงวันรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนคำแถลงว่า “เป็นบอลลูนตรวจอากาศ” ทำให้ผู้คนเริ่มสงสัยว่ามีการปิดบังบางอย่างเกิดขึ้น เรื่องนี้จึงกลายเป็นต้นกำเนิดของ “ทฤษฎีสมคบคิด” เกี่ยวกับUFO และเอเลี่ยนที่รัฐบาลปกปิดความจริงจากประชาชน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ “รอซเวลล์” ก็ยังถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งในสารคดี หนังสือ และภาพยนตร์นับไม่ถ้วน
แล้วจริง ๆ แล้ว UFO มีอยู่จริงไหม?
คำตอบคือ “มีจริง” แต่ต้องแยกให้ชัดระหว่าง “UFOกับยานต่างดาว”
เพราะUFOคือ “วัตถุที่ยังไม่สามารถระบุได้” ซึ่งทางกองทัพสหรัฐเองก็ยอมรับในเอกสารอย่างเป็นทางการ
ปี 2020 กระทรวงกลาโหมสหรัฐ (Pentagon) ได้จัดตั้งหน่วยงานชื่อว่า UAP Task Force (Unidentified Aerial Phenomena) เพื่อศึกษาวัตถุลึกลับที่ปรากฏในวิดีโอจากนักบินกองทัพ โดยในปี 2021 พวกเขาเปิดเผยรายงานอย่างเป็นทางการว่า มี “เหตุการณ์มากกว่า 140 ครั้ง” ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีที่เรารู้จัก
นี่แปลว่ารัฐบาลเองก็ยอมรับว่า “มีบางอย่างบนฟ้า” ที่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ
นักวิทยาศาสตร์คิดยังไงกับ UFO?
ฝั่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าUFOคือยานจากต่างดาว เพราะยังไม่มีหลักฐานทางกายภาพที่พิสูจน์ได้ เช่น เศษโลหะจากยาน หรือซากสิ่งมีชีวิตนอกโลก พวกเขาเชื่อว่า ส่วนใหญ่ของเหตุการณ์ที่คนเห็น อาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ดาวตก ฟ้าผ่าในชั้นบรรยากาศ หรือแม้แต่เครื่องบินลับทางทหาร
คาร์ล เซแกน (Carl Sagan) นักดาราศาสตร์ชื่อดัง เคยกล่าวว่า
“คำกล่าวอ้างที่ยิ่งใหญ่ ต้องการหลักฐานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น”
หมายความว่า การจะเชื่อว่า “ต่างดาวมาเยือนโลก” ต้องมีหลักฐานที่มากกว่าภาพหรือวิดีโอที่เห็นได้ง่าย ๆ
แล้วเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกล่ะ?
แม้เรายังไม่เจอเอเลี่ยนจริง ๆ แต่ในมุมมองของดาราศาสตร์ โอกาสที่ “ชีวิตอื่น” จะมีอยู่ในจักรวาลนั้นสูงมาก เพราะในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา มีดาวฤกษ์มากกว่า 100,000 ล้านดวง และดาวเคราะห์ที่อาจอาศัยได้อีกนับไม่ถ้วน
โครงการอย่าง SETI (Search for Extraterrestrial Intelligence) ก็พยายามค้นหาสัญญาณจากอารยธรรมอื่นในอวกาศมานานหลายสิบปี ถึงแม้ยังไม่พบสัญญาณชัดเจน แต่ความพยายามเหล่านี้ทำให้มนุษย์ไม่หยุดตั้งคำถามว่า “เราอยู่คนเดียวจริงหรือ?”
ทำไมคนจึงหลงใหลในเรื่อง UFO?
เพราะมันเชื่อมโยงกับ “ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์” เราอยากรู้ว่ามีใครอีกไหมที่มองกลับมาจากฟากฟ้า เรื่องUFOจึงกลายเป็นทั้งแรงบันดาลใจทางศิลปะ วรรณกรรม ภาพยนตร์ และเทคโนโลยี
ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง Close Encounters of the Third Kind หรือ Independence Day ไปจนถึงซีรีส์อย่าง The X-Files ทุกเรื่องล้วนใช้ “ความลึกลับของจานบิน” เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล
มุมมองของจิตวิทยา: เราเห็นสิ่งที่อยากเห็น
นักจิตวิทยาอธิบายว่า การที่บางคนเชื่อว่าเห็น UFO อาจเกิดจาก “Pareidolia” หรือปรากฏการณ์ที่สมองมนุษย์พยายามมองหารูปแบบที่คุ้นเคยในสิ่งที่ไม่ชัดเจน เช่น มองเมฆแล้วเห็นเป็นหน้า มองแสงบนฟ้าแล้วคิดว่าเป็นจานบิน
นอกจากนี้ ความเชื่อทางสังคมและวัฒนธรรมก็มีผล เช่น ในยุคที่สื่อพูดเรื่อง UFO เยอะ คนก็มีแนวโน้มจะ “เห็น” จานบินมากขึ้น แม้สิ่งที่เห็นจะเป็นเพียงดาวตกหรือเครื่องบินก็ตาม
UFOในยุคใหม่: จากความลับสู่การเปิดเผย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศเริ่มเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ UFOมากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอังกฤษ ที่เผยรายงานของนักบินทหารและพลเรือนที่พบเห็นวัตถุลึกลับ
แม้ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่บอกว่าเป็น “ยานต่างดาว” แต่ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเริ่มมองเรื่องนี้อย่างจริงจังมากกว่าการหัวเราะขำ ๆ เหมือนเมื่อก่อน บางคนถึงกับมองว่า “ยุคของการเปิดเผยความจริง” อาจจะใกล้เข้ามาแล้ว
สรุป: UFO มีจริงไหม และใครเจอคนแรก?
คำตอบคือ “มีจริง” แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าเป็น “ยานจากต่างดาว”
คนแรกที่ทำให้โลกพูดถึงUFO อย่างจริงจังคือ เคนเน็ธ อาร์โนลด์ ในปี 1947 ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนาน คือ “รอซเวลล์” ในปีเดียวกัน
UFOจึงไม่ใช่แค่เรื่องของวิทยาศาสตร์ แต่มันคือ “เรื่องของความเชื่อและจินตนาการของมนุษย์” ที่สะท้อนให้เห็นว่า เราอยากรู้อยากเห็นและตั้งคำถามกับสิ่งที่อยู่เหนือขอบฟ้าของเราอยู่เสมอ
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าUFOเป็นยานจากต่างดาวหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ “มันทำให้เรายังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และสงสัยว่า…มีใครกำลังมองกลับมาหาเราหรือเปล่า?”
No responses yet